วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2559

กามชาดก ชาดกว่าด้วยกามและโทษของกาม

กามชาดก ชาดกว่าด้วยกามและโทษของกาม

ชาวนาได้ตัดไม้และแผ้วถางป่าเพื่อทำเป็นที่นาของตน


ชาวนาได้ตัดไม้และแผ้วถางป่าเพื่อทำเป็นที่นาของตน

ในกาลสมัยเรือกสวนไร่นาของชาวบ้านนั้น เกิดจากแรงคนงานทำแผ้วถางป่า ใครขยันเพียงไรก็มีพื้นที่ทำกินเท่านั้น และด้วยกาลก่อนนั้นไม่มีเครื่องจักรไว้ทุ่นแรงเหมือนปัจจุบัน ชาวบ้านมีแต่เพียงมีด จอบเสียมเครื่องไม้เครื่องมือธรรมดากับแรงงานของเขาเท่านั้น
     ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านเหล่านั้น จึงรักเหล่านั้นจึงรักและหวงแหนไร่นาของเขาเป็นอันมาก ครั้งนั้นเมื่อองค์พระศาสดาทรงประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภกับพราหมณ์ชาวเมืองสาวัตถีผู้หนึ่ง เขาผู้นี้ได้ทำการหักร้างป่าเพื่อต้องการทำเป็นไร่ พระศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยของเขา เมื่อเสด็จเข้าไปโปรดสัตว์ในพระนครสาวัตถี ทรงแวะลงจากกระทำปฏิสันถารกับเขาบ่อยครั้ง “เธอทำอะไรเล่า” “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์
หักร้างที่ไร่พระเจ้าค่ะ” “ดีแล้วพราหมณ์ กระทำการงานไปเถิด” พระองค์ได้เสด็จไปทำปฏิสันถารกับเขาบ่อยๆ ทั้งในเวลาที่เขาขนต้นไม้ที่ตัดแล้ว และสะสาง
ที่ไร่ในเวลาก่อคัน ในเวลาหว่าน พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นการทำงานของเขาตั้งแต่แรกเริ่ม จนกระทั่งพื้นที่ป่ากลายเป็นไร่นาโดยสมบูรณ์ “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ วันนี้เป็นมงคลในการ
หว่านข้าวของข้า พระองค์ ข้าพระองค์จะถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธองค์เป็นประมุข ในเมื่อข้าวกล้านี้สำเร็จแล้ว” รุ่งขึ้นวันหนึ่ง ขณะที่พราหมณ์กำลังยืนดูข้าวกล้าของเขา ที่กำลังเติบโตเป็นต้นกล้าน้อยๆ อยู่ องค์พระศาสดาเสด็จมาตรัสถาม “พราหมณ์ เธอกำลังทำอะไรอยู่ตรงนั้น”
“ข้าแต่สมณะโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์กำลังดูข้าวกล้า” ในครั้งนั้นพราหมณ์คิดว่า เมื่อใดที่ข้าวของเขาออกรวงเป็นเม็ดข้าวแล้ว เขาจะถวายภัตรนั้นแด่พระพุทธเจ้า
เมื่อคิดได้อย่างนี้ เขาก็มีความสุขอย่างล้นเหลือ

พราหมณ์ชาวนาเสียใจมากกับความเสียหายในไร่นาของตน
พราหมณ์ชาวนาเสียใจมากกับความเสียหายในไร่นาของตน
     วันเวลาผ่านไปจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว ข้าวในนาของพราหมณ์นั้นออกรวงเป็นสีทองเหลืองอร่าม เขาตั้งใจจะเกี่ยวข้าวนั้น แล้วนำมาถวายแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเช้ารุ่งขึ้น แต่แล้วเรื่องราวก็ไม่ได้เป็นไปตามที่หวังไว้ ในคืนนั้นเองเกิดพายุลูกใหญ่ ลูกเห็บตกตลอดคืน ทางเหนือของแม่น้ำอัจจิรวดีก็มีกระแสน้ำใหญ่ไหลหลากมาพัดเอาข้าวกล้าทั้งหมดเข้าไปสู่ทะเล ไม่เหลือไว้ให้แม้มาดว่าทนานเดียว 
     เมื่อน้ำไหลผ่านไปแล้ว พราหมณ์มองดูความย่อยยับแห่งนาข้าวของตนแล้ว ก็ถูกความเสียใจอย่างแรงเข้าครอบงำ ยกมือตีอกคร่ำครวญไปถึงเรือน แล้วลงนอนบ่นพร่ำ“ไม่ ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ ทำไม นาข้าวๆ ของเรา หมดกันๆ” ในเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาทรงทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์ถูกความเสียใจครอบงำ ทรงดำริว่า เราต้องเป็น
ที่พึ่งของพราหมณ์ผู้นั้น  
     รุ่งขึ้นเสด็จไปสู่ประตูเรือนของเขา พราหมณ์ได้ยินความที่พระศาสดาทรงเสด็จมา ก็รีบให้การต้อนรับ “ดูก่อนพราหมณ์ เหตุใด จึงเศร้าหมองไปล่ะ ท่านไม่สบายอะไรเล่า”“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระองค์ย่อมทรงทราบการงานที่ข้าพระองค์ทรงกระทำนับแต่ตัดต้นไม้ที่ฝั่งแม่น้ำอัจจิรวดีข้าพระองค์เคยกราบทูลไว้ว่าเมื่อข้าวกล้านี้สำเร็จแล้ว
ข้าพระองค์จักถวายทานแด่พระองค์บัดนี้ห้วงน้ำใหญ่พัดข้าวกล้าของข้าพระองค์ไปสู่ทะเลเสียหมดเกลี้ยงทีเดียว ข้าวกล้าไม่มีเหลือสักหน่อย
พระศาสดาทรงนำอดีต<a href=http://www.dmc.tv/articles/jataka.html title='นิทาน' target=_blank><font color=#333333>นิทาน</font></a>มาแสดงแก่เหล่าภิกษุสงฆ์ในธรรมสภา
พระศาสดาทรงนำอดีตนิทานมาแสดงแก่เหล่าภิกษุสงฆ์ในธรรมสภา
   
     ข้าวเปลือกประมาณ 100 เกวียนเสียหายหมด เหตุนั้นความโศกอย่างใหญ่โตจึงเกิดแก่ข้าพระองค์” “ดูก่อนพราหมณ์ ก็เมื่อท่านเศร้าโศกอยู่ สิ่งที่เสียหายไปแล้วจะกลับคืนมาได้หรือ” “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญข้อนั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอพระเจ้าค่ะ” “แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านเศร้าโศกเพราะเหตุไร ขึ้นชื่อว่าทรัพย์และข้าวเปลือกของสัตว์เหล่านี้ ถึงคราวเสียหายก็เสียหาย สิ่งใดๆ ที่ถึงการปรุงแต่ง จะชื่อว่าไม่มีความเสียเป็นธรรมดานะไม่มีดอก ท่านอย่าคิดไปเลย”พระศาสดาทรงปลอบเขาด้วยประการฉะนี้ เมื่อทรงแสดงธรรมอันเป็นที่สบายแก่เขา ตรัสกามสูตร เมื่อพระสูตรถึงปริโยสาร พราหมณ์ดำรงในโสดาปัตติผลพระศาสดาทรงทำให้เขาสร่างโศกได้ ณ ตอนนั้นชาวพระนครรู้สิ้นทั่วกันว่า พระศาสดาทรงกระทำพราหมณ์ผู้นั้นให้สร่างโศก ให้ดำรงในโสดาปัตติผลได้พวกภิกษุพากันยกเรื่องขึ้นสนทนากันในธรรมสภา “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายมิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน เราก็ได้กระทำให้พราหมณ์นี้สร่างโศกแล้วเหมือนกัน” เมื่อตรัสแล้วก็ทรงนำอดีตนิทานมาแสดงดังต่อไปนี้ ในอดีตกาลพระเจ้าพรหมทัต ณ พระนครพารณสี มีพระโอรส 2 พระองค์ ท้าวเธอประทานตำแหน่งอุปราชแก่พระโอรสองค์ใหญ่ พระราชทานตำแหน่งเสนาบดีแก่พระโอรสองค์เล็ก ครั้นต่อมาพระเจ้าพรหมทัตสิ้นพระชนม์พวกอำมาตย์พากันตั้งการอภิเษกแก่พระองค์ใหญ่ แต่พระองค์ก็ได้ทำการปฏิเสธราชสมบัติเหล่านั้น แม้ได้รับคำทูลวิงวอนบ่อยๆ ก็ทรงห้ามเสีย “ฉันไม่ต้องการครองราชย์สมบัติ พวกท่านจงพากันให้แก่น้องชายของฉันเถิด” “เสด็จพี่ทรงรับตำแหน่งอุปราชไว้เถิด”“ไม่ละ เราไม่ต้องการความเป็นเจ้าเป็นใหญ่ ไม่ทรงปรารถนาแม้แต่ตำแหน่งอุปราช” “ถ้าเช่นนั้นน้องก็จะไม่กวนพระทัยเสด็จพี่อีก ขอเสด็จพี่ทรงจงอยู่สบายในพระราชวังนี้เถิด” “ฉันไม่มีเรื่องที่จะต้องกระทำในพระนครนี้ พี่จะขอไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในชนบทที่ห่างไกล”
เศรษฐีรู้ความจริงว่าชายหนุ่มที่มาพักอาศัยอยู่กับตนคือพระราชโอรส
เศรษฐีรู้ความจริงว่าชายหนุ่มที่มาพักอาศัยอยู่กับตนคือพระราชโอรส
  
     พระราชกุมารเสด็จออกจากพระนครเมืองพาราณสีไปสู่ชนบทปลายแดน อาศัยสกุลเศรษฐีตระกูลหนึ่ง ทรงกระทำการงานด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองประทับอยู่“เออ เจ้าคนนี้ฝีมือดีเหมือนกัน มิเสียแรงที่เลี้ยงเอาไว้” ครั้นกาลต่อมาพวกเหล่านั้นรู้ความที่ท้าวเธอเป็นพระราชกุมารก็พากันไม่ยอมให้ทำการงานพากันห้อมล้อมท้าวเธอด้วยการปฏิบัติในฐานะพระราชกุมาร
     “พระองค์อย่าได้ได้ทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายเลย เชิญอาศัยอยู่ให้สบายเถิด หม่อมฉันยินดีรับใช้พระเจ้าค่ะ” “หม่อมฉันก็ยินดีรับใช้พระองค์เหมือนกันเพค่ะเชิญรับสั่งได้เลยเพค่ะ”“เอาเถิดเราขอบใจพวกท่านทุกคนมาก” ดำเนินการนานมา พวกข้าราชการได้ไปถึงบ้านนั้น เพื่อรังวัดเขต ท่านเศรษฐีเข้าไปเฝ้าพระราชกุมารเพื่อกราบทูลขอให้พระองค์ทรงช่วยเหลือ“ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเจ้านาย พวกข้าพระองค์ พากันบำรุงเลี้ยงพระองค์ ขอพระองค์ทรงส่งหนังสือถึงเจ้าน้องให้ทรงช่วยลดส่วยแก่พวกข้าพระองค์ด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ” “ได้สิ ท่านเศรษฐี ท่านเองก็ทรงช่วยเหลือเรามามากแล้ว เราควรตอบแทนท่านบ้าง” ครั้งนั้นพระราชกุมารทรงส่งหนังสือไปถึงพระอนุชาผู้เป็นเจ้าแผ่นดิน“พี่ได้อาศัยสกุลเศรษฐีพำนักอยู่โปรดเห็นแก่พี่ ยกเว้นส่วยแก่พวกเหล่านั้นเถิด” “เมื่อเสด็จพี่ทรงขอมา เราก็ยินดีทำตามรับสั่ง ทหารเว้นภาษีของเศรษฐีนั้นเถิด” ครั้งนั้นพวกชาวบ้านทั้งหมด ทั้งชาวชนบทบ้างชาวบ้านอื่นๆ บ้าง พากันเข้าไปเฝ้าท้าวเธอเพื่อทูลขอยกเว้นส่วย ดังที่พระองค์ทรงพระราชทานขอให้เศรษฐี

พระราชโอรสองค์รองได้รับสาสน์จากพี่ชายซึ่งอยู่ชายแดนชนบท
พระราชโอรสองค์รองได้รับสาสน์จากพี่ชายซึ่งอยู่ชายแดนชนบท

     กาลนั้นท้าวเธอทรงส่งหนังสือไปเพื่อช่วยเหลือพวกเหล่านั้น ให้พระราชาทรงยกเว้นส่วยให้ “ข้าพระองค์จักถวายส่วยแด่พระองค์เท่านั้น โปรดให้พระราชาทรงยกเว้นแก่พวกข้าพระองค์บ้างเถิด” “เอาเถิดๆ เราจะช่วยพวกเจ้าทุกคน” ตั้งแต่บัดนั้น พวกเหล่านั้นก็พากันถวายส่วยแก่พระราชกุมาร พระองค์จึงบังเกิดลาภสักการะใหญ่ด้วยเหตุนั้นความอยากของพระองค์ก็พลอยเติบใหญ่ไปด้วย กาลต่อมาพระองค์ได้ทูลขอชนบทนั้นทั้งหมด แล้วทูลขอราชสมบัติกึ่งหนึ่งพระอนุชาก็ได้ประทานทุกอย่างตามที่พระองค์ทรงทูลขอ “ฮ่าๆๆ มีสมบัติมันก็ดีอย่างนี้นี่เอง ฮึ แต่จริงๆ แล้วสมบัติทั้งเมืองต้องเป็นของเราซินะ เราควรจะได้ครอบครองทั้งหมดไม่ใช่แค่ครึ่งเดียวเช่นนี้” เมื่อกิเลสตัณหาพอกพูนไม่ทรงพอพระทัย ด้วยราชสมบัติเพียงกึ่งนั้น ทรงดำริจะยึดราชสมบัติทั้งหมด ด้วยเหตุนี้จึงแวดล้อมด้วยชาวชนบทเสด็จไปสู่พระนครนั้น หยุดทับอยู่ภายนอกพระนคร ทรงส่งหนังสือแก่พระอนุชา เพื่อให้พระอนุชาทรงยกราชบัลลังก์ให้มิเช่นนั้นก็ต้องออกรบกัน “พี่นี้เป็นพาล เมื่อก่อนทรงห้ามราชสมบัติ แม้กระทั่งตำแหน่งอุปราชก็ทรงห้าม คราวนี้ตรัสว่า จะยึดเอาด้วยการรบ ก็ถ้าเราจักฆ่าพี่นี้ให้ตายเสียด้วยการรบความครหาจักมีแก่เราได้ เราจะต้องการอะไรด้วยราชสมบัติ” พระอนุชาทรงส่งหนังสือมาถึงพระเชษฐา ว่าไม่ต้องการรบ ขอมอบราชสมบัตินั้นคืนแด่พระองค์นับแต่นั้นพระราชกุมารโอรสองค์ใหญ่ทรงครองราชย์สมบัติและทรงตกอยู่ในอำนาจแห่งตัณหา มิได้ทรงพอพระหทัยด้วยราชสมบัติพระนครเดียวทรงปรารถนาราชสมบัติ 23 นคร ไม่ทรงเห็นที่สุดแห่งความอยากเลย ครั้งนั้นท้าวสักกะเทวราชทรงตรวจดูว่า ในโลกชนเหล่าไหนบ้างที่บำรุงมารดาบิดา เหล่าไหนทำบุญต่างๆมีให้ทาน เหล่าไหนตกอยู่ในอำนาจตัณหา ทรงทราบความที่พระราชกุมารโอรสองค์ใหญ่ เป็นไปในอำนาจตัณหา พระองค์จึงทรงจำแลงเพศเป็นมานพประทับยืนที่พระทวารหลว  พระราชาองค์นี้เป็นพาล ไม่ทรงพอพระหทัยแม้ด้วยราชสมบัติในพระนครพาราณสี เราต้องสั่งสอนให้ทาวเธอได้รู้บ้าง” ท้าวสักกะเทวราชในร่างของบัณฑิตให้มหาดเล็กไปทูลพระราชาว่าตนมีอุบายแยบยลถวาย “ข้าแต่พระมหาราช ข้าพระองค์เห็นพระนคร 3 แห่ง มั่งคั่ง มีฝูงคนแออัด สมบูรณ์ด้วยพละและพาหนะข้าพระองค์จักยึดราชสมบัติทั้ง 3 ด้วยอานุภาพของตนถวายแด่พระองค์ ควรที่พระองค์จะไม่ทรงชักช้า รีบเสด็จเถิดพระเจ้าข้า” ท้าวสักกะนั้นเล่าตรัสเพียงเท่านี้แล้ว ก็ได้เสด็จไปดาวดึงส์พิภพส่วนพระราชานั้นเมื่อได้ยินสิ่งที่ท้าวสักกะในร่างบัณฑิตกล่าว ก็ทรงตกอยู่ในความโลภ พระองค์ทรงรับสั่งให้ราชบุรุษเตรียมกองทัพเพื่อตามบัณฑิตนั้นไปยึดราชสมบัติ “มานพผู้หนึ่งกล่าวว่า จะยึดราชสมบัติ 3 นครให้พวกเรา พวกเธอจงเรียกมานพนั้นมาทีเถิด จงนำกลองไปเที่ยวตีประกาศในพระนครเรียกประชุมพลกาย เราต้องยึดครองสมบัติ 3 นครไม่ต้องชักช้า” ราชบุรุษรีบทำตามกระแสรับสั่ง เตรียมไพล่พลกองทัพ
แต่ไม่มีใครพบเห็นบัณฑิตที่พระราชากล่าวไว้เลย
ท้าวสักกะเทวราชทรงจำแลงตนเป็นชายหนุ่มมาเข้าเฝ้าพระโอรส
ท้าวสักกะเทวราชทรงจำแลงตนเป็นชายหนุ่มมาเข้าเฝ้าพระโอรส
     “ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ก็พระองค์ทรงกระทำสักการะแก่มานพนั่นอย่างไร หรือทรงถามที่อยู่อาศัยของมานพนั้นไว้อย่างไร” “พวกเราไม่ได้ทำสักการะเลยไม่ได้ถามที่พักอาศัยไว้เลย พวกเธอจงพากันไปค้นหาเขาเถิด” “ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พวกข้าพระองค์ ไม่เห็นมานพนั้นทั่วพระนครพระเจ้าข้า”
พระราชาทรงเกิดโทมนัส ครั้งนั้นความร้อนบังเกิดขึ้นในร่างพระกายพระองค์ผู้ทรงตกอยู่ในตัณหา 
 เมื่อพระสรีระทุกส่วนเร้าร้อนอยู่ กริยาที่วิ่งพล่านแห่งโลหิต ก็ทำท้องให้กำเริบแล้วเกิดการถ่ายท้องอย่างแรงขี้น ภาชนะอันหนึ่งเข้าอันหนึ่งออก พวกแพทย์สุดฝีมือที่จะถวายการรักษาได้ ครั้งนั้นการที่ท้าวเธอถูกความเจ็บป่วยเบียดเบียนได้เลื่องลือไปทั้งพระนคร “ราชสมบัติทั้ง 3 นครเสื่อมหายแล้ว เราเสื่อมเสียจากยศอันใหญ่มานพคงโกรธเรา ว่าไม่ให้เสบียงแก่เรา แล้วก็ไม่ให้ที่อยู่อาศัยด้วย เลยไม่มา”
กาลนั้นมีบัณฑิตหนุ่มเรียนศิลปะสำเร็จจากตักศิลา มาสู่สำนักบิดามารดาในพระนครพาราณสี เมื่อเขาได้ฟังเรื่องของพระราชานั้นก็คิดว่าต้องช่วยรักษาพระองค์ให้ได้ จึงไปสู่พระราชทวาร “ท่านราชบุรุษได้โปรดเข้าไปช่วยกราบทูลพระราชาด้วยเถิด ว่าเราสามารถรักษาพระองค์ได้” “มีบัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่ง มารอที่หน้าประตูเมืองเขาบอกว่ารักษาพระองค์ได้พะยะค่ะ” “รักษาเราได้งั้นเรอะ แม้พวกแพทย์ทิศาปาโมกใหญ่ๆ ยังไม่สามารถรักษาเราได้ มานพหนุ่มจะสามารถได้อย่างไร 
     พวกท่านพากันให้เสบียงแล้วปล่อยเขาไปเถิด” ราชบุรุษนั้นนำพระราชดำริของพระกุมารโอรสองค์ใหญ่มาบอกแก่บัณฑิต แต่เขาก็ยังไม่ละความพยายามนั้น “ข้าพเจ้าไม่มีเรื่องที่ต้องทำ ด้วยค่ากำนัลหมอเลย ข้าพเจ้าจะขอถวายการรักษา โปรดให้เพียงค่ายาเท่านั้นก็พอ” พระราชาทรงสดับคำนั้น จึงทรงเปลี่ยนพระทัยให้บัณฑิตหนุ่มเข้ามารักษาพระองค์มานพนั้นตรวจดูพระราชาแล้วกราบทูล “ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์อย่าได้ทรงกลัวไปเลยพระเจ้าข้า ข้าพระองค์จะถวายการรักษาก็แต่ว่า พระองค์ทรงโปรดบอกสมุฏฐานแห่งโรคแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิดพระเจ้าข้า”
บัณฑิตหนุ่มได้รับอนุญาตให้รักษาอาการประชวรของพระราชา
 บัณฑิตหนุ่มได้รับอนุญาตให้รักษาอาการประชวรของพระราชา
     “เจ้าจะเอาสมุฏฐานไปทำไม จงบอกยาเท่านั้นเถิด” “ข้าแต่มหาราช ธรรมดาหมอทราบว่าว่าความเจ็บนี้เกิดขึ้นเพราะอาศัยสาเหตุนี้ ย่อมกระทำยาให้ถูกต้องกับความเจ็บปวดนั้นได้พระเจ้าค่ะ” พระราชาทรงตรัสบอกสมุฏฐานซึ่งเป็นเรื่องทั้งหมดตั้งต้นแต่ที่มานพหนุ่มมาบอกพระองค์ว่า จะสามารถช่วยให้พระองค์ให้เอาราชสมบัติใน 3 พระนครมาให้แล้วเขาคนนั้นก็หายไป “แน่ะพ่อ เราเจ็บคราวนี้เพราะตัณหา ถ้าเจ้าพอจะรักษาได้ ก็จงรักษาเถิด” “ข้าแต่มหาราช พระองค์อาจได้พระนครเหล่านั้นด้วยการโศกเศร้าหรือ”  “ไม่อาจดอกพ่อ” “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดพระองค์จึงโศกเศร้าพระเจ้าข้า ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายย่อมละร่างกายของตนเป็นต้น ตลอดถึงสวิญญาณกทรัพย์ อวิญญานกทรัพย์ ทั้งหมดไป
แม้พระองค์จะยึดครองราชสมบัติในพระนครทั้ง 4 ได้ พระองค์ก็ยังเสวยพระกระยาหารในสุวรรณภาชนะทั้งสี่ บรรทมเหนือพระที่ทั้งสี่ ทรงเครื่องประดับทั้งสี่พร้อมกันในคราวเดียว
ไม่ได้ พระองค์ไม่ควรตกอยู่ในอำนาจของตัณหา เพราะตัณหานี้เมื่อเจริญขึ้นย่อมไม่ปล่อยให้พ้นจากอบายทั้ง  4 ไปได้พระเจ้าค่ะเมื่อบุคคลปรารถนากาม ถ้าสิ่งที่ปรารถนาของบุคคลนั้นย่อมสำเร็จได้ สัตว์ปรารถนาสิ่งใดได้สิ่งนั้นแล้ว ย่อมมีจิตใจอิ่มเอิบแท้ บรรดาความอิ่มเอิบทั้งหลาย ความอิ่มด้วยปัญญา
ประเสริฐยิ่งนัก เพราะผู้อิ่มด้วยปัญญานั้น ย่อมไม่เดือดร้อนด้วยกามทั้งหลาย คนผู้อิ่มด้วยปัญญา ตัณหาย่อมกระทำให้อยู่ในอำนาจไม่ได้พระเจ้าค่ะ” บัณฑิตเมื่อได้กล่าวคาถานั้น
ก็ได้เกิดฌาน มีโอทาตกสิณเป็นอารมณ์ เพราะหน่วงเอาพระเศวตฉัตรของพระราชาเป็นอารมณ์ แม้พระราชาก็ทรงหายจากโรค พระองค์ทรงมีความยินดีเสด็จลุกจากพระที่บรรทม
ได้อย่างที่ผู้ที่ไม่เคยมีโรคภัยอันใด พระองค์ทรงประทานทรัพย์ให้แก่บัณฑิตหนุ่มแต่เขาก็ปฏิเสธ “ข้าแต่พระมหาราชเจ้า เมื่อพระองค์กำลังกล่าวคาถาอยู่นั้นแล ใจก็ไม่ยินดีในทั้ง
วัตถุกาม ทั้งกิเลสกาม เพราะข้าพเจ้านั้นในขณะที่กล่าวคาถาก็ยังฌาณให้บังเกิดด้วยพระธรรมเทศนาของตน ข้าพระองค์ไม่ขอรับทรัพย์เหล่านั้นด้วยพระเจ้าค่ะ”

     หลังจากนั้นบัณฑิตหนุ่มก็บวชเป็นฤาษี เจริญพรหมวิหารอยู่จนตลอดชนมายุแล้วไปเกิดในพรหมโลก พระราชาทรงปกครองเมืองยังทรงธรรม พระศาสดาครั้นทรงนำพระเทศนา
นี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดก
พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็น พราหมณ์
ส่วนมานพผู้เป็นบัณฑิต เสวยพระชาติเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า



อ้างอิง 
http://www.dmc.tv/pages/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81.html


















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น