วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ทศชาติชาดก

ชาดก ทั้ง 10 เรื่อง


เตมิยชาดก  

ชาติที่ 1 เพื่อบำเพ็ญเนกขัมมบารมี - เตมียชาดก (เต) เป็นชาติแรกในทศชาติชาดก ก่อนที่จะมาตรัสรู้เป็นสมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านามพระโคดม ชาตินี้ พระองค์ทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมี หมายถึง การละทิ้งจากกามคุณทั้ง 5

ชนกชาดก  

ชาติที่ 2 เพื่อบำเพ็ญวิริยบารมี - มหาชนกชาดก (ช) พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระชนกกุมาร โอรสพระเจ้าอริฏฐชนก กษัตริย์เมืองมิถิลา ขณะที่เสด็จลงสำเภาไปค้าขาย เกิดพายุใหญ่เรือแตกกลางมหาสมุทร พระมหาชนกทรงว่ายน้ำโต้คลื่นอยู่ในมหาสมุทรถึง 7 วัน นางเมขลาเห็นจึงพูดลองใจว่าให้พระองค์ยอมตายเสียเสียตามบุญตามกรรม แต่พระองค์ก็ไม่ทรงฟัง ยังพยายามว่ายน้ำโต้คลื่นอยู่ตามเดิมนางเมขลาเห็นเลื่อมใสในความพยายาม จึงอุ้มพระองค์เหาะไปส่งที่ฝั่ง พระชาตินี้พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญ วิริยบารมี

ภาพเขียนฝาผนังเรื่องสุวรรณสาม ชาดก บันทึกจากวัดหน่อพุทธรางกูล สุพรรณบุรี

สุวรรณสามชาดก  

ชาติที่ 3 เพื่อบำเพ็ญเมตตาบารมี - สุวรรณสามชาดก (สุ) พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพรหมฤๅษี ต้องรับภาระเลี้ยงดูบิดามารดาผู้ตาบอด วันหนึ่งกบิลยักษ์แผลงศรมาถูกได้รับบาดเจ็บแสนสาหัส แต่ก็ไม่ได้โกรธ กลับแสดงเมตตาจิตต่อ และเทศนาทศพิธราชธรรมให้กบิลยักษ์ฟัง ด้วยอำนาจแห่งเมตตาธรรมทำให้พระสุวรรณสามหายเจ็บปวดรอดชีวิตมาได้ และบิดามารดาก็กลับมีจักษุดี พระชาตินี้พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญ เมตตาบารมี

เนมิราชชาดก  

ชาติที่ 4 เพื่อบำเพ็ญอธิษฐานบารมี - เนมิราชชาดก (เน) เป็นชาติที่ 4 ของทศชาติชาดก พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเนมิราช โอรสเจ้าเมืองมิถิลา โปรดการบริจาคทานและรักษาพรหมจรรย์ พระอินทร์ทรงพอพระทัย ถึงกับให้พระมาตุลีนำทิพยรถมารับไปเที่ยวเมืองสวรรค์ และเมืองนรก แล้วเชิญให้ครองเมืองสวรรค์ พระเนมิราชไม่ทรงรับและเสด็จกลับบ้านเมืองของพระองค์ พอทรงชราก็ออกผนวช พระชาตินี้พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญ อธิษฐานบารมี

มโหสถชาดก  

ชาติที่ 5 เพื่อบำเพ็ญปัญญาบารมี

ภูริทัตชาดก 

ชาติที่ 6 เพื่อบำเพ็ญศีลบารมี

จันทชาดก 

ชาติที่ 7 เพื่อบำเพ็ญขันติบารมี

นารทชาดก 

ชาติที่ 8 เพื่อบำเพ็ญอุเบกขาบารมี

วิทูรชาดก 

ชาติที่ 9 เพื่อบำเพ็ญสัจจบารมี

เวสสันดรชาดก 

ชาติที่ 10 เพื่อบำเพ็ญทานบารมี สำหรับชาติสุดท้าย เป็นชาติที่สำคัญ และบำเพ็ญบารมีอันยิ่งใหญ่ คือ เวสสันดรชาดก หรือเรื่องพระเวสสันดร



ที่มา  https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81

ขอบคุณที่มาจากยูทูปด้วยจ้า

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน : ตำนานผาแดงนางไอ่

            นางไอ่เป็นธิดาพระยาขอมผู้ครองเมืองชะธีตา นางไอ่เป็นสตรีที่มีสิริโฉมงดงามเป็นที่เลื่องลือไปในนครต่าง ๆ ทั้งโลกมนุษย์และบาดาล มีชายหนุ่มหมายปองจะได้อภิเษกกับนางมากมาย


            ในจำนวนผู้ที่มาหลงรักนางไอ่ มีท้าวผาแดงและท้าวพังคี โอรสสุทโธนาค เจ้าผู้ครองนครบาดาล ท้าวทั้งสองต่างเคยมีความผูกพันกับนางไอ่มาแต่อดีตชาติ จึงต่างช่วงชิงจะได้เคียงคู่กับนาง แต่ก็พลาดหวัง จึงมิได้อภิเษกทั้งคู่เพราะแข่งขันบั้งไฟแพ้

            ท้าวพังคีนาคไม่ยอมลดละ แปลงกายเป็นกระรอกเผือกคอยติดตามนางไอ่ สุดท้ายถูกฆ่าตาย พญานาคผู้เป็นพ่อจึงขึ้นมาถล่มเมืองล่มไป กลายเป็นหนองน้ำใหญ่ คือ หนองหาน

          อย่างไรก็ตาม ในตำรา อ้างอิงถึงเรื่องผาแดงนางไอ่จบลงด้วยการเกิดเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ จากการต่อสู้ของพญานาคกับท้าวผาแดง ต่างก็มีข้อมูลอ้างอิงถึง หนองน้ำที่ชื่อหนองหาน แต่กล่าวต่างกันไปในตำราแต่ละเล่มถึงหนองน้ำ ทั้ง 3 แห่ง หนองหาน ที่อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี และหนองหาน อำเภอกุมภวาปี ซึ่งก็ไม่ไกลจากที่แรกมากนัก และอีกที่หนึ่งก็คือหนองหาร จังหวัดสกลนคร

นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน : เรื่องปู่ปะหลาน

             ปู่กับหลานได้เดินทางไกลผ่านมายังทุ่งกุลาร้องไห้นี้ เดินข้ามอย่างไรก็ไม่พ้นสักที ปู่ก็จวนเจียนจะหมดแรงอยู่รอมร่อ ส่วนหลานนั้นก็ได้เอาแต่ร้องไห้งัวเงียด้วยความเหนื่อยล้า ทั้งยังกระหายน้ำจนดูท่าว่าจะเดินทางไปต่อไม่ไหว จนกระทั่งได้พลอยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย (แต่ก่อนนี้ทุ่งกุลาร้องไห้นี้มีความทุรกันดารมาก ทั้งยังมีพื้นที่ที่กว้างใหญ่มีอาณาเขตติดต่อกันถึงห้าจังหวัด) ปู่จึงได้ใช้ผ้าขาวม้าห่อหุ้มหลานเอาไว้ แล้วนำไปไว้ยังโคนของพุ่มไม้แห่งหนึ่งเพื่อบังแดดให้แก่หลานน้อยนั้นไว้ ปู่จึงได้รีบเดินทางต่อโดยความหวังว่า จะได้พบกับหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดที่ซึ่งมีน้ำเพื่อที่จะนำไปให้หลานดื่มได้

            บริเวณนี้เรียกว่า บ้านป๋าหลาน เพราะคำว่าป๋านั้นหมายถึงการทิ้ง เช่น ผัวป๋าเมีย เป็นต้น ซึ่งในบริเวณจังหวัดมหาสารคามนั้น ก็มีชื่อหมู่บ้านนี้ว่าเป็นบ้านป๋าหลานอยู่ ในท้องที่ใกล้ ๆ กับอำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคามในปัจจุบัน

            เมื่อปู่เดินทางจนมาถึงตีนบ้าน ปู่ก็ได้รีบเขาไปขอน้ำดื่มจากชาวบ้านในหมู่บ้านนั้น พร้อมกับได้รีบนำน้ำใส่บั้งทิง เพื่อที่จะนำไปให้หลานดื่ม

            ส่วนหลานนั้น เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่พบปู่ ก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจ และด้วยความกลัวตามประสาของเด็ก และจึงได้ออกวิ่ง ทั้งเดินเพื่อตามหาปู่ของตนว่าอยู่ไหน ทั้งยังพร่ำบ่นว่า ปู่นั้นได้ทิ้งตนเองไปแล้ว ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจว่าปู่นั้นไม่รักตนเอง ปล่อยทิ้งให้หลานนั้นอยู่เพียงลำพังคนเดียวด้วยความไม่ไยดีซึ่งมีปรากฏเป็นบทกลอนของการลำอยู่ ในที่สุดนั้นหลานก็ได้หมดแรง และล้มลง

            ปู่นั้นเมื่อได้น้ำมาแล้ว ก็ได้รีบนำกลับมาให้หลานด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อมาถึงพุ่มไม้ที่ได้วางหลานเอาไว้ ก็กลับไม่พบหลานเลย ปู่จึงได้รีบออกค้นหาหลานไปทั่วบริเวณนั้น จนกระทั่งปู่ก็ได้มาพบหลานนอนตายอยู่กลางแดดจ้าของท้องทุ่งอันแสนกันดารแห่งนี้ มีทั้งมด แมลง ไต่ชอนไชอยู่ตามรูจมูก ใบหูและปากไปทั่ว

            ครั้นเมื่อปู่เห็นสภาพหลานดังนั้นแล้วก็แทบใจขาด น้ำตาร่วงหล่นด้วยความสงสารในชะตากรรมของหลานที่ต้องมาตายอย่างทุกข์ทรมาน ทั้งยังโทษตัวเองว่าทำไมจึงได้ทิ้งหลานไว้ให้อยู่คนเดียว ปู่ได้ค่อย ๆ อุ้มศพของหลานขึ้นแล้วเดินพาหลานกลับไปยังตีนบ้านแห่งนั้น ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ดังกับว่าหัวใจของปู่นั้นจะแตกสลายเสียให้ได้

            ต่อมาเมื่อมีความเจริญขึ้นตรงบริเวณนั้น บริเวณบ้านแห่งนั้นก็ถูกเรียกว่าเป็นบ้าน ปะหลาน ซึ่งหมายถึงบริเวณบ้านที่ปู่นั้นได้พบกับศพของหลานนั่นเอง


นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน : เรื่องซิ่นสองต่อน

ซิ่นสองต่อน หมายถึง เนื้อคู่
          ซิ่น           หมายถึง  เนื้อ     
          ต่อน          หมายถึง ชิ้น
          รวม           คือ เนื้อสองชิ้น เนื้อสองชิ้น ก็คือ เนื้อคู่

      ว่ากันว่า นานมาแล้ว เมื่อปี 2514 จำปารักกันกับบุญหลาย แต่พ่อแม่กีดกัน เพราะพ่อแม่เป็นศัตรูกันเมื่อ 20 ปีก่อน ทั้งสองถึงแอบคบกันลับ ๆ ตลอดมา จนวันหนึ่ง จำปี พี่ของจำปาซึ่งแอบรักบุญหลาย เห็นจำปากับบุญหลายคุยกัน จึงไม่พอใจ จึงนำความไปบอกพ่อแม่

      พ่อแม่แค้นใจมาก จึงจับจำปาบวชชี เวลาผ่านไปหลายเดือน จำปาก็แอบหนีจากการเป็นชี หนีไปอีกหมู่บ้านหนึ่งกับบุญหลาย เมื่อจำปีทราบว่า จำปาหนีไปกับบุญหลาย จำปีก็ไปบอกพ่อแม่ของบุญหลาย ฝ่ายแม่ของบุญหลายก็ตรอมใจตาย ส่วนพ่อบุญหลายไม่เชื่อเลย จับจำปีขังไว้ที่บ้านของตน แล้วไปของพ่อแม่ของจำปา ว่าให้หาบุญหลายมาคืนแล้วจะเอาจำปีคืนให้ ทั้งสองจึงแสร้งมาเล่าความจริงว่าไม่ได้เอาไป มาพร้อมกับข้าวห่อหนึ่งใส่ยาพิษมาให้พ่อบุญหลายกิน พ่อบุญหลายก็กินแล้วตายไป พ่อแม่จำปีก็พาจำปีกลับบ้าน แต่ยังไม่ถึง โจรก็มาปล้นกลางทางแล้วฆ่าทั้ง 3 ทิ้งเสีย

      ส่วนจำปากับบุญหลาย ครองรักกันไม่นานก็มีลูกแล้วแท้ง จำปาเลยเป็นบ้าบอสติไม่เต็ม วันหนึ่งเห็นมีดในครัว จึงถือมาฟันหัวบุญหลายตาย

อ่านต่อ http://hilight.kapook.com/view/81805


นิทานอีสป

นิทานอีสป

              อีสป (อังกฤษ: Aesop; กรีกโบราณ: Αἴσωπος; ประมาณ 620–564 ปีก่อน ค.ศ.) เป็นนักเล่านิทานหรือนักเล่าเรื่องชาวกรีกโบราณ ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าของนิทานจำนวนหนึ่งซึ่งปัจจุบันรู้จักกันรวม ๆ ว่า นิทานอีสป แม้การดำรงอยู่ของเขาจะยังไม่แน่ชัดและไม่มีงานเขียนของเขาเหลือรอดมาเลย (หากมี) แต่นิทานจำนวนมากซึ่งถือว่าเป็นของเขาถูกรวบรวมตลอดหลายศตวรรษในหลายภาษาในประเพณีการเล่าเรื่องซึ่งดำเนินมาจวบปัจจุบัน นิทานหลายเรื่องใช้สัตว์หรือวัตถุไม่ใช่สัตว์ที่สามารถพูด แก้ไขปัญหาและโดยทั่วไปมีคุณสมบัติอย่างมนุษย์

             รายละเอียดชีวิตของอีสปที่กระจัดกระจายสามารถพบได้ในแหล่งข้อมูลโบราณ รวมถึงอริสโตเติล เฮโรโดตัส และพลูทาร์ก งานวรรณกรรมโบราณชื่อ The Aesop Romance เล่าชีวิตอีสปเป็นตอน ๆ และอาจเป็นฉบับที่เป็นนิยายอย่างสูง ซึ่งรวมถึงคำอธิบายเขาแต่เดิมว่าเป็นทาสที่น่าเกลียดสะดุดตา ซึ่งได้รับอิสรภาพของตนมาด้วยความฉลาด และกลายเป็นผู้ถวายคำปรึกษาแด่พระมหากษัตริย์และนครรัฐต่าง ๆ ประเพณีสมัยหลัง (ซึ่งมาจากสมัยกลาง) พรรณนาอีสปว่าเป็นชาวเอธิโอเปียผิวดำ

เด็กเลี้ยงแกะ

เด็กเลี้ยงแกะคนหนึ่งเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่ง วันหนึ่งคิดสนุกวิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน ตะโกนบอก
หมาป่าๆมากินแกะข้า ชาวบ้านวิ่งกันมาช่วย แต่แล้วเด็กเลี้ยงแกะกลับขบขันที่หลอกชาวบ้านได้
ชาวบ้านรู้ตัวต่างพากันกลับบ้าน ต่อมาเด็กเลี้ยงแกะก็วิ่งเข้าไปในหมู่บ้านอีก
ร้องตะโกน หมาป่าๆมากินแกะข้า ชาวบ้านได้ยินต่างรีบกันออกมาช่วย
เด็กเลี้ยงแกะกลับขบขันที่หลอกชาวบ้านได้อีก ชาวบ้านโมโหจึงพากันกลับบ้านอีก
วันหนึ่งหมาป่ามาเห็นฝูงแกะของเด็กเลี้ยงแกะ มันเข้ากินแกะของเขาทีละตัวทีละตัว
เด็กเลี้ยงแกะวิ่งเข้าหมู่บ้านบอก หมาป่าๆมากินแกะข้า แต่เคราะห์ร้ายคราวนี้ไม่มีชาวบ้านคนใดออกมาช่วยเขา
แกะของเขาตายหมดเกลี้ยง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ผู้โกหกย่อมไม่มีผู้ใดเชื่อถือ


หนูกับราชสีห์

หนูตัวหนึ่งวิ่งไปรบกวนราชสีห์ขณะกำลังหลับ มันตื่นขึ้นมาตะปบหนูไว้
เจ้าหนูร้องครวญขอให้ไว้ชีวิตมัน แล้วสักวันมันจะตอบแทนคุณราชสีห์
ราชสีห์หัวเราะ เจ้าหนูตัวเล็กเจ้าจะช่วยอะไรข้าได้ แต่แล้วราชสีห์ก็ปล่อยหนูไป
วันหนึ่งขณะเที่ยวเล่น ราชสีห์ติดบ่วงนายพราน พยายามหนีแต่ไม่สำเร็จ
หนูตัวเล็กเข้ามากัดบ่วงขาด ราชสีห์จึงหนีรอดออกมาได้ ราชสีห์ขอบคุณหนู

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เพื่อนตัวเล็กอาจช่วยเราได้มากว่าที่เราคิด


กระต่ายกับเต่า

กระต่ายตัวหนึ่งโม้โอ้อวดถึงความเร็วของตน มันท้าเหล่าสัตว์ทั้งหลายแข่งกับตน
ไม่มีสัตว์ใดแข่งกับมัน จนเต่าตัวหนึ่งรับคำท้าของมัน
เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น กระต่ายวิ่งนำเต่าไปลิบหูลิบตา มันหัวเราะและก้มลงหลับกลางทาง
ด้วยความมั่นใจ เต่าซึ่งคลานต้วมเตี้ยมตามมา มันเดินเลยกระต่ายที่หลับอยู่ และเข้าถึงเส้นชัยก่อน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความประมาทนำมาสู่ความพ่ายแพ้


สุนัขกับเงาสะท้อน

สุนัขตัวหนึ่งคาบก้อนเนื้อมาก้อนหนึ่ง มันเดินมาริมแม่น้ำเห็นเงาสะท้อนของตัวเองกำลังคาบก้อนเนื้อยู่
มันคิดว่าเป็นสุนัขอีกตัวคาบเนื้ออยู่ จึงตัดสินใจอ้าปากกะจะแย่งเอาก้อนเนื้ออีกก้อนหนึ่งมาเป็นของตน
ขณะที่อ้าปาก เนื้อที่อยู่ในปากก็หล่นลงแม่น้ำ มันจึงเสียก้อนเนื้อไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า โลภมากลาภหาย




อ่านนิทานอีสปเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ  http://www.xn--o3cdbaak5etb0aca8cyas4uwe.com/tag/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99/


สูกรชาดก-ชาดกว่าด้วยสุกรท้าสู้ราชสี

สูกรชาดก-ชาดกว่าด้วยสุกรท้าสู้ราชสี

หมูผู้หลงตัวเองจึงได้คิดท้าต่อสู้กับราชสีห์

หมูผู้หลงตัวเองจึงได้คิดท้าต่อสู้กับราชสีห์
     ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล  ขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารในครั้งนั้น การเทศน์และการฟังธรรมในเวลากลางคืนยังมีอยู่
หลังจากพระศาสดาทรงให้โอวาทแล้ว เสด็จกลับเข้าไปในคันธกุฎี พระโมคคัลลานะเข้าไปถามปัญาหากับพระสารีบุตร เหล่าพุทธบริษัททั้ง 4 นั่งฟังอยู่ ในขณะนั้นมีภิกษุชรารูปหนึ่ง คิดจะแกล้งพระสารีบุตรด้วยการถามปัญหายากๆ เพื่อให้ท่านลำบาก ท่ามกลางหมู่บริษัท
“หากเราแกล้งพระสารีบุตร ด้วยการถามปัญหายากๆ เพื่อให้ท่านจนมุมต่อหน้าผู้คน คนทั้งหลายก็คงคิดว่าเราฉลาด และก็ยกย่องนับถือเราเป็นแน่”
     “ท่านผู้อาวุโส สารีบุตร ข้าพเจ้า ขอถามปัญหาท่านสักข้อหนึ่งเถิด ขอท่านจงช่วยแก้ปัญหาให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด” หลังจากพระสารีบุตรพิจารณาภิกษุชรา
ก็รู้ได้ทันทีว่า ภิกษุรูปนี้มีความริษยา โง่แล้วยังอวดฉลาด จึงไม่ตอบอะไรลงจากอาสนะแล้วเดินหลีกไป
ภิกษุชรากำลังคิดวางแผนที่จะแกล้งพระสารีบุตร
ภิกษุชรากำลังคิดวางแผนที่จะแกล้งพระสารีบุตร
     ฝ่ายพระโมคคัลลานะเห็นเช่นนั้นก็กลับกุฏิทันที “หลวงตารูปนี้มีความริษยา โง่ ไม่รู้เรื่องอะไรแล้วยังจะอวดความฉลาดอีก”เมื่อเหล่าพุทธบริษัทเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่พอใจ ต่างลุกขึ้นยืนแล้วพยายามจับตัวภิกษุชรารูปนี้ “พวกเราช่วยกันจับหลวงตาแก่รูปนี้เอาไว้ ทำให้เราไม่ได้ฟังธรรมอันไพเราะจากพระสารีบุตร”ภิกษุชราเห็เหตุการณ์ไม่น่าไว้วางใจ จึงรีบวิ่งหนีจากไปทันที
“ท่าจะไม่ค่อยดีซะแล้ว เผ่นก่อนดีกว่าเรา” ด้วยความโชคร้ายภิกษุชราผลัดตกลงไปในหลุมอุจจาระท้ายวิหาร เนื้อตัวเปรอะเปื้อนเหม็นคลุ้งไปด้วยของสกปรกเมื่อพุทธบริษัททั้งหลายเห็นดังนั้นก็รู้สึกรังเกียจ จึงพากันกลับเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา “เฮ้ย หลุมอะไรมาอยู่ตรงนี่เนี่ย โอ้ย ทั้งเจ็บทั้งเหม็นเลยเรา”
“ฮึย สกปรก น่าขยะแขยงจริงๆ พวกเรารีบไปให้พ้นจากตรงนี้ดีกว่า เห็นแล้วจั๊กจี้” “จริงด้วย เหม็นจะอ้วก เราไปเฝ้าพระศาสดากันเถิด” พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นเหล่าอุบาสกและอุบาสิกามาผิดเวลา จึงตรัสถามว่า “ดูก่อน อุบาสกและอุบาสิกาทั้งหลาย ทำไมพวกท่านจึงมาผิดเวลาเช่นนี้”
เหล่าอุบาสกและอุบาสิกาจึงกราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้ทรงทราบ หลังจากพระพุทธองค์ได้ทรงสดับเรื่องราวทั้งหมดจึงตรัสว่า
ภิกษุชราได้วิ่งตกลงในหลุมอุจจาระเนื้อตัวเหม็นและสกปรก
ภิกษุชราได้วิ่งตกลงในหลุมอุจจาระเนื้อตัวเหม็นและสกปรก
  
     “ดูก่อนท่านทั้งหลาย หลวงตาท่านนี้หยิ่ง อวดดี ไม่รู้ประมาณในตนเอง ชอบแข่งดีกับคนที่เก่งกว่า จึงทำให้มีตัวเปื้อนอุจจาระ ไม่ใช่เฉพาระในชาตินี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนภิกษุนี้ก็เคยมีสภาพอย่างนี้มาแล้วเหมือนกัน” บรรดาอุบาสกและอุบาสิกาได้ฟังแล้ว จึงกราบทูลอาราธนา พระศาสดาจึงทรงนำชาดกมาสาทกอธิบายให้ฟังดังนี้ ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมทัตทรงเสวยราชสมบัติ
อยู่ในกรุงพาราณสี ราชสีห์ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำบนภูเขาในป่าหิมพานต์ ไม่ไกลจากนั้น มีฝูงสุกรจำนวนมากอาศัยอยู่ใกล้สระน้ำแห่งหนึ่ง
     บรรดาพระดาบสทั้งหลายก็ปลูกบรรณศาลาอยู่ใกล้ๆ สระน้ำนั้นเช่นกัน วันหนึ่งหลังจากราชสีห์ได้ฆ่าสัตว์กินเป็นอาหารจนอิ่มแล้วได้ลงมาดื่มน้ำที่สระนั้น ในเวลาเดียวกัน
สุกรอ้วนตัวหนึ่งก็กำลังเที่ยวหากินอยู่แถวนั้นเช่นกัน
     “กินซะอิ่มแปล้เลยเรา ชักจะคอแห้ง ดื่มน้ำซะหน่อยท่าจะดี แอ๊ะ..นั่น ตัวอะไรอ้วนๆ น่ากินเหมือนกันแฮะ แต่อิ่มจนกินไม่ไหวแล้วสิ” แต่เนื่องจากราชสีห์กำลังอิ่ม
จึงคิดว่า หากสุกรนั้นมองเห็นตนจะไม่กล้ามาแถวนั้นอีก ราชสีห์จึงรีบขึ้นจากสระ แล้วหลบเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง
เจ้าหมูโง่หลงผิดคิดว่าราชสีห์กลัวตนเอง    
เจ้าหมูโง่หลงผิดคิดว่าราชสีห์กลัวตนเอง
     “ถ้าเจ้าหมูอ้วนนั้นมองเห็นเรา มันอาจจะกลัวจนไม่กล้ามาแถวนี้อีก เราคงอดกินมันแน่ๆ รีบขึ้นจากน้ำแล้วหลบไปทางโน้นดีกว่า” เมื่อสุกรเห็นดังนั้นก็สำคัญผิดคิดว่าราชสีห์กลัวตน จึงรีบหนีไป มันจึงชูหัวขึ้นร้องเรียกราชสีห์ให้มาต่อสู้กันด้วยเสียงที่องอาจเจ้าหมูโง่ได้ท้าต่อสู้กับราชสีห์“ดูก่อนสหาย เรามี 4 เท้า แม้ท่านเองก็มี 4 เท้า จงกลับมาสู้กันก่อนเถิดสหาย ท่านกลัวหรือไร จึงได้หนีจากไป” เมื่อได้ฟังคำท้าของสุกรนั้น ราชสีห์จึงกล่าวตอบไปว่า“ดูก่อนสุกรเพื่อนรัก วันนี้เราจักไม่สู้กับท่าน แต่นับจากนี้อีก 7 วัน ท่านจงมาสู้กับเราตรงนี้เถิด”
     เมื่อราชสีห์กล่าวดังนั้นแล้ว ก็เดินจากไปทันที สุกรได้ยินดังนั้นก็เกิดความคึกคักว่า ตนจะได้ต่อสู้กับราชสีห์ จึงรีบกลับไปเล่าเรื่องราวให้กับหมู่ญาติฟังทันที“ทุกตัวฟังทางนี้ กระทั้งราชสีห์ก็ยังเกรงบารมีของเรา อีก 7 วันข้างหน้าเราจะให้บทเรียนกับเจ้าราชสีห์ จะได้รู้กันเสียทีว่า ใครที่จะสมควรเป็นราชาของป่าแห่งนี้”
เจ้าหมูโง่ได้เล่าให้ให้ญาติของมันฟังในเรื่องการท้าต่อสู้กับราชสีห์
เจ้าหมูโง่ได้เล่าให้ให้ญาติของมันฟังในเรื่องการท้าต่อสู้กับราชสีห์
     พวกญาติๆ ได้ฟังก็พากันตกใจ รีบตำหนิสุกรตัวนั้นทันที “ทำไม่เจ้าถึงได้โง่อย่างนี้นะ” “ใช่ โง่แล้วยังอวดดีอีก” “เจ้าจะพาพวกเราไปพบกับความพินาศกันหมดในคราวนี้เจ้าไม่รู้จักประมาณตนเอง อย่าได้ทำเรื่องโง่เขลาเช่นนั้นเลย”
 เมื่อได้ฟังเช่นนั้นสุกรก็ตกใจหน้าซีดด้วยความกลัว มันจึงถามหมู่ญาติของมันว่า “แล้วพวกท่านจะให้เราทำอย่างไร” หลังจากปรึกษาหาหนทางแก้ไขกันอยู่ครู่หนึ่ง
หมู่ญาติจึงออกอุบายให้สุกรนั้นทำตาม “นั้นสิ จะทำอย่างไรดีหล่ะ” “ข้าว่า ให้เจ้าหนีไปเลยดีมั๊ย” 
     “ถ้าทำอย่างนั้นแล้ว ราชสีห์มาที่นี่เราจะบอกพวกเขาว่าอย่างไรล่ะ ราชสีห์อาจจะโกรธแล้วก็ฆ่าพวกเราได้จนหมดนะ” “เอาอย่างนี้ เจ้าจงลงไปในหลุมอุจจาระของพวกดาบสแล้วเอาตัวเกลือกกลั้วในหลุมนั้น แล้วรอให้ตัวแห้งสัก 7 วัน เมื่อถึงวันที่เจ็ดก็เอาตัวไปกลิ้งให้เปียกน้ำค้างอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็จงไปที่นัดแนะก่อนที่ราชสีห์จะมา เจ้าจงสังเกตทิศทางลมให้ดี จงไปยืนอยู่เหนือลมราชสีห์เป็นสัตว์ที่สะอาด เมื่อได้กลิ่นตัวของเจ้า ข้ารับรองว่า เขาจะยอมให้เจ้าชนะ แล้วรีบหนีในทันที” เมื่อได้ยอนดังนั้นสุกรก็ดีใจรีบทำตามอุบายนั้นทันที
เจ้าหมูโง่พาตัวอันสกปรกของมันมาพบกับราชสีห์ตามที่นัดกันไว้ 
เจ้าหมูโง่พาตัวอันสกปรกของมันมาพบกับราชสีห์ตามที่นัดกันไว้
     “มีทางรอดแล้วแล้วเรา ถึงจะเหม็นแต่เราก็ต้องทน กลั้นหายใจเอาไว้กลิ้งไปให้ทั่วๆ” ในวันที่เจ็ด สุกรได้ไปยืนรอราชสีห์ในจุดนัดพบ มันใจเต้น ระทึกด้วยความหวาดกลัว
“จวนจะได้เวลาแล้ว แผนการนี้จะได้ผลหรือเปล่านะ ถ้าไม่ได้ผล เราคงต้องถูกฆ่าเป็นอาหารของราชสีห์แน่ๆ เฮ้ย กลัวจนหัวใจเต้นรัวป็นกลองเพลเลยเรา”  เมื่อราชสีห์มาถึง มันขยับจมูกไปมาด้วยความเหม็นแทบจะอาเจียน พลางคิดในใจว่าเพื่อนสุกรเอ๋ย เจ้ามีชั้นเชิงดีมากเหลือเกิน หากตัวเจ้าไม่มีกลิ่นเหม็นละก็เราจะฆ่าเจ้าเสียตรงนี้ แต่บัดนี้เราไม่อาจใช้ปากกัดเจ้า หรือเอาเท้าเหยียบเจ้าได้เลย เรายอมให้เจ้าชนะก็แล้วกัน จากนั้นราชสีห์จึงได้กล่าวขึ้นว่า “ดูก่อนสุกร
เจ้าเป็นสัตว์สกปรก มีขนเหม็นเน่า มีกลิ่นเหม็นคลุ้งไปดูก่อนสหายหากท่านอยากจะสู้กับเรา 
ราชสีห์ยอมแพ้หมูและก็ได้กลับไปยังถ้ำของมัน
ราชสีห์ยอมแพ้หมูและก็ได้กลับไปยังถ้ำของมัน
     เราก็จะให้ชัยชนะแก่ท่านก็แล้วกัน เราแพ้แล้ว เจ้าจงไปเสียเถิด” เมื่อกล่าวจบราชสีห์ก็เดินออกจากที่นั้น เพื่อออกหาอาหารดื่มน้ำในสระแล้วกลับเข้าถ้ำตามเดิม“อ่อนใจจริงๆ เราไม่ควรไปเกี่ยวข้องกับเจ้าหมูโง่อวดดีตัวนี้เลย กลับถ้ำดีกว่า” ฝ่ายสุกรนั่นก็ดีใจรีบกลับมาแจ้งข่าวแก่พวกญาติทันที “ชนะแล้ว ข้าชนะราชสีห์แล้ว  เห็นไหมล่ะ ข้านี่แหละคือราชาของป่าแห่งนี้ ฮ้าๆๆๆ” พวกสุกรได้ฟังดังนั้นก็ตกใจกลัว ว่าราชสีห์จะกลับมาฆ่าพวกตนให้ตายหมด จึงพากันอพยพไปอยู่ที่อื่น “ไม่ไหวแล้วแบบนี้อยู่ไม่ได้แล้ว หนีดีกว่า” “แล้วถ้าราชสีห์เกิดหมั่นไส้อยากกลับมาฆ่าพวกเรา แล้วฆ่าพวกเราจนหมดฝูง พวกเราจะทำอย่างไร ทางที่ดีเราควรรีบอพยพไปอยู่ที่อื่นดีกว่านะ” “อย่ามัวแต่พูดให้เสียเวลาเลย รีบไปกันดีกว่า”


พระศาสดาครั้นทรงนำพระเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
สุกรในครั้งนั้น ได้เป็น ภิกษุชราในปัจจุบัน
ส่วน ราชสีห์ ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล




อ้างอิง http://www.dmc.tv/pages/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81-%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81.html






อสาตมนต์ชาดก-ชาดกว่าด้วยมนต์มายาหญิง

อสาตมนต์ชาดก-ชาดกว่าด้วยมนต์มายาหญิง

หญิงหม้ายตาบอดผู้ถูกกิเลสครอบงำ คิดฆ่าผู้อื่นได้เพื่อความสุขของตน
หญิงหม้ายตาบอดผู้ถูกกิเลสครอบงำคิดฆ่าผู้อื่นได้เพื่อความสุขของตน
    ในวัฏสงสารที่เราเวียนว่ายเกิดดับตามกฎแห่งกรรมอันเป็นธรรมดานี้ มิมีผู้ใดที่สามารถหลุดพ้นปวงกรรมนี้ได้เลย พุทธกาลสมัยหนึ่งซึ่งธรรมะอุทกจากพระบรมศาสดายังไหลรินหล่อเลี้ยงเวไนยสัตว์ผู้ทุกข์อยาก ณ พระเชตะวันมหาวิหารกาลนั้น มีภิกษุสงฆ์ผู้ตกทุกข์ด้วยเหตุจากอิสตรีเข้ากวนกิเลสมิให้ดื่มด่ำธรรมรสได้ดุจเดิม กิเลสจากหญิงนั้นทำให้บุตรแห่งพระสมณโคดมรูปหนึ่ง 
     มิเป็นอันบำเพ็ญภาวนา “เฮ้อ..เหตุใดใจมันถึงรุ่มร้อนเช่นนี้ หลับตาคราใดก็เฝ้าเห็นแต่ความงามของน้อง ทำยังไงนะ ใจเราถึงจะสงบลงได้ซะที..เฮ้อ” แม้ภิกษุรูปนี้จะเคยฟังเทศนาธรรมมิให้หลงไหลในกามอันประกอบขึ้นด้วย รูป รส กลิ่น เสียง มาหลายครั้งหลายหน แต่มาถึงบัดนี้กลับหลงลืมไปหมดสิ้น ความเวทนานี้ประจักษ์ขึ้นในข่ายพระญาณองค์จอมไตร 
ภิกษุหนุ่มผู้ตกอยู่ในห้วงทุกข์ด้วยเหตุจากอิสตรี
ภิกษุหนุ่มผู้ตกอยู่ในห้วงทุกข์ด้วยเหตุจากอิสตรี
  
     ทรงปรารถนาให้พระภิกษุนั้นพ้นภัยจากวัฏสงสาร จึงกำหนดให้เข้าเฝ้า ณ พระคัณฑกุฏี “ดูก่อนภิกษุสีหน้าท่านชั่งเศร้าหมองยิ่งนัก เรารู้ถึงการเป็นทุกข์ของท่าน” “องค์ศาสดา โปรดช่วยกระผมให้เห็นทางสว่างด้วยเถอะครับ” “ชื่อว่าหญิง ย่อมก่อกวนพรหมจรรย์ของเพศสมณะผู้ตั้งใจบำเพ็ญเพียรเสมอในอดีตชาตินั้น บัณฑิตก็เคยแสดงให้รู้แจ้งถึงอันตรายจากกิเลสในใจหญิงมาก่อน” 
    จากนั้นพระพุทธองค์ก็ทรงระลึกชาติขึ้นด้วยบุพเพนิวาสนุสติญาณ ชายแดนแคว้นกาสีครั้งโน้นมีบุตรชายในครอบครัวพราหมณ์ผู้หนึ่งเติบโตเป็นหนุ่มขึ้นท่ามกลางการดูแลอย่างหวงแหนจากผู้เป็นพ่อและแม่ “หนักไหม๊จ๊ะลูก ค่อยๆ เดินไปนะ ให้พ่อกับแม่ช่วยไหม๊” “ไม่เป็นไรจ๊ะ แม่เสียทรัพย์ซื้อให้ก็เป็นพระคุณมากแล้ว” “เออ..เดินดีๆ ลูก เดี๋ยวจะหกล้มบาดเจ็บเอาได้นะ”  
       บุตรพราหมณ์เป็นชายหนุ่มรูปงามฐานะดีและมีภูมิรู้ จึงเป็นที่หมายปองของสตรีทั่วไป และการที่เขายังอยู่ในวังวนของกิเลส จึงทำให้รู้สึกชื่นชอบในหญิงสาวที่เข้ามาหลงใหลในตัวเขาเช่นกัน ซึ่งนางพราหมณีผู้เป็นแม่ต้องคอยกำราบห้ามปรามอยู่มิเคยเว้น “แม่ผู้หญิงคนนี้มาอีกแล้ว เป็นผู้หญิงยิงเรือแท้ๆ ไม่รู้จักรักนวลสงวนตัว มาหาผู้ชายอยู่ได้ไม่เว้นวัน เข้าไปในบ้านเลยลูก อย่าไปเสวนากับแม่พวกนี้เลย”
พราหมณ์ผู้เป็นแม่พยายามกีดกันหญิงสาว ที่คอยแวะเวียนมาหาบุตรของตน


พราหมณ์ผู้เป็นแม่พยายามกีดกันหญิงสาวที่คอยแวะเวียนมาหาบุตรของตน
   
    “ท่านนี้แต่น้องนางคนนี้ น่ารักดีนะ ลูกอยากคุยกับเธอ” “อะฮ้า..ดีจังวันนี้ไม่มีแม่มาคุม โปรยเสน่ห์ได้เต็มที่เลยเรา” “อุ๊ย มีผู้ชายหน้าตาดีมองมาทางเราด้วย นั่นแน่ะ หรือว่าเค้าแอบชอบเรานะ” “ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้หล้อหล่อ สูงเท่บาดใจ” “คนนี้ก็สวย คนนั้นก็น่ารัก โอ๊ย..ไม่รู้จะเลือกใครดี เมื่อไหร่จะได้แต่งงานกับเขาเสียที  เฮ้อ..เกิดมาเป็นคนหน้าตาดีเนี่ย มันลำบากใจจริงๆ” 
บุตรของพราหมณ์เป็นที่หมายปองของสาวๆ ทั่วๆไป




บุตรของพราหมณ์เป็นที่หมายปองของสาวๆ ทั่วไป
    แม้บุตรชายจะใคร่แต่งงานมีเหย้ามีเรือนเพียงใด แต่พราหมณ์บิดามารดา กลับไม่ให้การสนับสนุนเลย ท่านทั้งสองอยากให้บุตรชายครองเพศบรรชิตยิ่งกว่าสิ่งไหน “ลูกรัก พรหมโลกน่ะ เป็นที่หมายสูงสุดของมนุษย์ทุกคน ที่นั่นนะเป็นที่อยู่ของเทพยดาผู้บริสุทธิ์ เราน่ะ อยากให้ลูกบำเพ็ญบารมีเอาดีทางธรรมนะลูก” “พ่อเองก็เห็นด้วยกับแม่  
  


   

  ธรรมะจะทำให้ลูกเห็นทางสว่างของชีวิตพ้นจากบ่วงกรรมได้” “เมื่อบวชแล้ว พอสิ้นอายุขัยจากโลกนี้ เจ้าก็จะได้ไปเกิดในพรหมโลกนะจ๊ะ เจ้าเชื่อแม่เถอะ เปลี่ยนความคิดที่จะแต่งงาน มาออกบวชเถอะนะ” “ฮึๆ เป็นนักบวชแบบนี้เหรอท่านแม่ ลูกยังหนุ่มยังแน่น ขอลูกเอาดีทางโลกก่อนเถอะจ๊ะ” “ฮึม..ดีเหมือนกัน หากเจ้าจะเอาดีทางโลก เพราะก่อนที่จะครองเรือนเจ้าต้องรอบรู้ศิลปศาสตร์ทางโลกก่อน   
    เจ้าจึงจะเป็นสามีที่ดีได้” “เมื่อท่านพ่อเห็นว่าควรเป็นแบบนั้น ข้าก็จะไปเรียนที่สำนักอาจารย์ทิสาปาโมกข์ พ่อและแม่คิดเห็นเช่นไร” “พ่อกับแม่เห็นดีด้วย” “เจ้าไปเถอะ” เมื่อผู้เป็นพ่อกับแม่ไม่สามารถพูดให้บุตรชายเปลี่ยนความคิดที่จะแต่งงานได้ จึงออกอุบายให้บุตรชายไปศึกษาหาความรู้กับอาจารย์ โดยหวังว่าอาจารย์จะช่วยสอนให้ลูกเห็นทางธรรม  “จงเลือกเรียนกับอาจารย์ที่ยังโสดนะลูก ท่านจะได้มีเวลาสอนได้มาก เจ้าจะได้จบโดยเร็วนะลูกนะ” “เฮ้อ..ต้องรีบเรียนรีบกลับ เราจะได้กลับมาแต่งงานกับน้องหญิงคนสวยเร็วๆ” บุตรพราหมณ์เดินทางทางสู่ทิสาปาโมกข์อยู่หลายวันก็พบกับอาจารย์คนโสดตามที่มารดาสั่งไว้ จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์และเริ่มเรียนวิทยาการจากอาจารย์ตั้งแต่วันนั้น

ชายหนุ่มกลับมาหาบิดามารดา พร้อมกับความสำเร็จในวิชาที่ร่ำเรียน

ชายหนุ่มกลับมาหาบิดามารดาพร้อมกับความสำเร็จในวิชาที่ร่ำเรียน
     วันเวลาผ่านไป ชายหนุ่มรูปงามบุตรพราหมณ์ได้เรียนจนสำเร็จวิทยาการตามกำหนดจึงรีบล่ำลาอาจารย์กลับบ้าน “จำเริญรุ่งเรืองเถิดเมื่อเจ้าได้เป็นใหญ่เป็นโตแล้ว ก็อย่าลืมอาจารย์นะ โชคดี ไปดีมาดีนะ” “ศิษย์ขอกราบลา ศิษย์รำลึกพระคุณอาจารย์เสมอ” “อะไรเนี่ย มาทีหลังจบก่อนเราอีก เรียนมา 30 ปีแล้วยังไม่จบซักที ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยคงโดนรีไทน์ไปแล้วเรา”
    บุตรพราหมณ์ใช้เวลาเดินทางไม่กี่วันก็มาถึงบ้านเกิดเมืองนอน แต่เมื่อพรรณนาถึงวิชาทั้งหมดที่ร่ำเรียนมา ท่านทั้งสองกลับยังไม่พอใจ “เจ้าไปเรียนตั้ง 3-4 ปี มีแค่นี้หรอ” “โธ่..นี่ก็ตั้งมากมายแล้วนะท่านแม่ คิดว่าลูกเรียนมาหมดครบถ้วนแล้ว” “ครบถ้วนแล้วรึ เออ..แล้วอสาตมนต์ละ เจ้าเรียนแล้วรึยัง” “มีด้วยหรือท่านแม่ ข้าไม่เห็นอาจารย์สอนให้ข้าเลย” อสาตมนต์เนี่ยเป็นวิชาพิเศษที่น้อยคนนักจะได้เรียนรู้
ชายหนุ่มเดินทางกลับไปร่ำเรียนวิชา กับอาจารย์ของตนอีกครั้ง

ชายหนุ่มเดินทางกลับไปร่ำเรียนวิชากับอาจารย์ของตนอีกครั้ง
    ลำพังศิลปะศาสตร์ทั่วไปใครๆ ก็ย่อมเรียนรู้ได้ แต่จะมีใครซักกี่คนละ ที่รู้อสาตมนต์บ้างเล่า แม้แต่ชื่อมนต์บทนี้บางคนก็ยังไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ” “ท่านแม่ลูกไม่ได้ยินบทนี้เลย” “อาจารย์เค้าคงเห็นว่าลูกนะ รีบร้อนอยากกลับมาประกอบการงานมีเหย้ามีเรือนกระมังจึงได้สอนเฉพาะวิชาที่จำเป็นแก่การเลี้ยงชีพให้แต่แม่ว่ายังไม่พอหรอกเจ้า เพราะอสาตมนต์เป็นวิชาที่สำคัญมากควรอย่างยิ่งที่เจ้าจะต้องรู้”
ชายหนุ่มติดตามอาจารย์มาจนถึงที่พักยังชายป่า



ชายหนุ่มติดตามอาจารย์มาจนถึงที่พักยังชายป่า
    “โอ๊ย..นี่ลูกต้องกลับไปเรียนอสาตมนต์กับอาจารย์อีกแล้วหรือ โธ่เมื่อไหร่ลูกจะได้แต่งงานละท่านแม่” แต่ชายหนุ่มก็เดินทางไปหาอาจารย์ยังสำนักทิสาปาโมกข์เมืองตักศิลาอีกครั้งแต่ปรากฏว่าอาจารย์ได้พาหญิงชราที่มีพระคุณเคยเลี้ยงดูท่านเข้าไปอยู่ในป่าเสียแล้ว “โอ้ย..เจ้านะมาช้าไป อาจารย์เนี่ยได้พาหญิงหม้ายตาบอดไปอยู่ที่ชายป่าด้านโน้น ถ้าเจ้ายังจะไปหาอาจารย์ก็รีบเข้าไปเถิด มืดค่ำลงจะลำบาก”



    “อะไรกันเนี่ย จะเจออุปสรรคอะไรมากมายขนาดนี้” ชายหนุ่มบุตรพราหมณ์เร่งเดินทางผ่านป่าใหญ่ เร่งฝีเท้าอย่างมิได้รอช้าจนเย็นย่ำสนธยาก็พบอาศรมหลังใหญ่ “โอ้..นั่น อาจารย์ของเรานี่น่า โธ่เอ้ย หลบมาอยู่เสียไกล อาจารย์ๆ ครับ” “อ้าว ศิษย์รักเป็นเจ้ารึนั้น เข้าป่ามาหาอาจารย์ถึงนี่มีอะไรรึ มาเถอะ เข้ามาคุยกันก่อน” ค่ำคืนนั้นอาจารย์จากทิศาปาโมกข์กับบุตรพราหมณ์ผู้เป็นศิษย์ก็สนทนาซักถามกันถึงวิชาอสาตมนต์ที่มารดาของศิษย์สั่งให้มาเรียน
    “ท่านแม่ของศิษย์บอกให้ศิษย์มาเรียนอสาตมนต์จากอาจารย์ก่อนแล้วถึงแต่งงานได้” “ฮึม อย่างนั้นหรอกรึ” เมื่ออาจารย์ได้ยินก็รู้ดีว่าวิชาอสาตมนต์นี่ไม่มีจริงเลย ดังนั้นมารดาของศิษย์คงคาดหวังให้ช่วยในทางอื่น บุตรพราหมณ์เอ๋ย..มารดาของเธอคงไม่อยากให้มีภรรยาเป็นแน่ “เฮ้อ..เอาล่ะอาจารย์จะสอนบทเรียนนี่ให้เธอเอง”
หญิงหม้ายวางแผนให้ศิษย์หนุ่มฆ่าอาจารย์ของตนเอง
หญิงหม้ายวางแผนให้ศิษย์หนุ่มฆ่าอาจารย์ของตนเอง
    “โอ้..อาจารย์รู้จักวิชานี้ด้วยหรือ ดีใจจังเลย ท่านจะสอนวิชานี้ให้ข้าใช่มั๊ย” “ใช่อาจารย์จะสอนวิชาอสาตมนต์ให้ก็ได้ แต่เธอต้องดูแลหญิงหม้ายแทนอาจารย์นะ” “ครับอาจารย์แล้วข้าต้องทำอย่างไรบ้างละ” “เจ้าต้องอาบน้ำ ถูนวดให้ท่านอย่าได้รังเกียจ ที่สำคัญขณะที่ปรนนิบัติเจ้าต้องพรรณนาความงามของท่านไปด้วยเสมอ”
    “เป็นการพูดปด ทำไมข้าจะต้องพรรณนาความงามของหญิงแก่ด้วย ไม่เห็นเธอจะมีความงามหลงเหลืออยู่เลยสักนิด” “เอาเถอะน่า มันเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะใช้ปรนนิบัติหญิงผู้มีพระคุณของอาจารย์ เจ้าทำไปเถอะ” “นี่ไงหญิงผู้มีพระคุณของอาจารย์ เจ้าต้องดูแลนางอย่างดี แล้วอย่าลืมพรรณนาชมโฉมให้นางฟังด้วยนะ” “เห็นอย่างนี้แล้ว ข้าพรรณนาไม่ออกหรอกอาจารย์” “เจ้าก็เยินยอไปสมัยอดีตที่ยังสาวของนางสิ ให้เกิดความหลงปลื้ม 
    นางจะได้มีความสุข แล้วสังเกตด้วยว่านางมีกิริยาตอบมาว่าอย่างไร ต้องมาเล่าให้อาจารย์ฟังด้วยน่ะ ไหนเจ้าทดสอบให้อาจารย์ดูหน่อยซิ” “เอ่อๆ เอ่อ คุณแม่ขอรับเมื่อสมัยคุณแม่ยังสาวคงสวยไม่น้อย ขณะอายุมากแล้วเค้าความงามยังปรากฏ” “ดีมาก อย่างนี้แหละกล้าๆ ไว้” “เอ่อ..เสียงหนุ่มที่ไหนมาชมแม่เนี่ย เสียเจ้าช่างนุ่มนวลน่าฟังจริงๆ เข้ามาใกล้ๆ ชั้นหน่อยซิ” “ยิ่งดูใกล้ๆ ก็ยิ่งงาม หลังเอย แขนเอย ดูยังสวย ไม่น่าเชื่อว่าคุณแม่ยังสดใสขนาดนี้” 
    ทุกวันนี้คราใดที่ปรนนิบัติหญิงแก่ไม่ว่าจะตอนอาบน้ำหรือนวดเฟ้น ชายหนุ่มก็จะพรรณนาความงามของเธอให้ฟังมิได้ขาด ในที่สุดกิเลสก็เข้ากุมจิตใจหญิงแก่ให้เผลอรักใคร่ชายหนุ่มเข้าจนได้ “เธอพูดจริงรึพ่อหนุ่ม ชั้นงามอย่างนั้นจริงๆ เรอะ ชั้นทนฟังความหวานของเธอไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว” คุณแม่ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” “ชั้นสวยถูกใจเธอใช่มั๊ยละ เธอต้องการชั้นอย่างงั้นใช่ไหม๊ ถ้าอย่างนั้นนะ เรามาอยู่กินกันที่นี่เลยเถอะ” “โอ๊ย ไม่ได้หรอกครับคุณแม่ เดี๋ยวอาจารย์ต้องเอาตายแน่ๆ” 
    “มันจะยากอะไรละพ่อหนุ่ม เราก็ฆ่าเขาให้ตายซะก็หมดเรื่อง แล้วเราก็อยู่กินกัน 2_คนอย่างมีความสุข หึๆ” “ผมทำไม่ได้หรอกครับคุณแม่ ท่านเป็นอาจารย์ของผม” “ถ้าเธอทำไม่ได้ งั้นชั้นจะเป็นคนฆ่าเขาเอง ที่ชั้นทำไปก็เพื่อเรา 2 คน เธอต้องร่วมมือกับชั้นนะ” หญิงแก่ตาบอดผู้ถูกกิเลสหลุ่มหลงครอบงำ คิดวางแผนฆ่าอาจารย์อย่างหน้ามืด โดยให้บุตรพราหมณ์ช่วยทำตามแผนของเธอ “พ่อหนุ่มทำตามที่ชั้นบอกแค่นั้นก็พอ ส่วนที่เหลือเดี๋ยวชั้นจะจัดการลงมือฆ่าเขาเอง”
    “เฮ้อ..หญิงแก่ชั่งโหดเหี้ยมยิ่งนัก เสียแรงที่อาจารย์เคารพดุจมารดา เฮ้อ..อนิจจา” ชายหนุ่มเมื่อผละออกมาจากหญิงแก่ก็รีบนำแผนร้ายของนางมาเล่าให้อาจารย์ฟังโดยมิได้ปิดบังอำพลาง “เฮ้อ..เป็นไปอย่างที่ข้าคาดไว้แท้ๆ เช่นนั้นเรามาทดลองอะไรกันซักอย่างดีกว่านะศิษย์รัก” จากวันนั้นทั้งอาจารย์และศิษย์ต่างช่วยกันวางแผนลวงหญิงหม้ายอย่างแนบเนียน “เราใช้ไม้มะเดื่อนี้วางบนเตียงอาจารย์แล้วเธอจงขึงเชือกนี้เป็นราวนำทางไปยังห้องของหญิงหม้ายนั้นเถอะ”
อาจารย์และศิษย์หนุ่มได้ช่วยกันปลงศพของหญิงหม้าย

อาจารย์และศิษย์หนุ่มได้ช่วยกันปลงศพของหญิงหม้าย
    บุตรพราหมณ์จัดการทุกอย่างตามอาจารย์สั่ง แล้วออกมาให้สัญญาณหญิงแก่ เพื่อให้เธอทำตามแผนที่เธอวางไว้แต่แรก “คุณแม่มาจัดการได้เลยขอรับ อาจารย์กำลังหลับสนิท”หญิงหม้ายเมื่อได้รับสัญญาณก็รีบเกาะราวเชือกด้วยแรงเดินที่เหลืออยู่น้อยนิดนางเดินเข้าไปในห้องอาจารย์คนที่นางเคยรักประหนึ่งบุตรพร้อมขวานอันคมกริบ“พ่อหนุ่มอีกอึดใจเดียวเราก็จะทำสำเร็จแล้ว เฮ้อ..โอย..เหนื่อย เฮอ” เมื่อเดินสุดราวเชือกตามแผนนางก็เงื้อขวานฟันลงที่เตียงอาจารย์สุดแรง โป๊ะ!  “ว้าย..อะไรกันเนี่ย..ทำไมถึงกลายเป็นขอนไม้ไปได้หล่ะ โอ้ย..ๆ ดึงไม่ออก ฮึย..โอ้ย เหนื่อย” “เธอเห็นโทษของความลุ่มหลงแล้วรึยัง โดยเฉพาะสตรีเพศอันเป็นดุจไฟที่เผาไหม้ทุกสิ่ง” “น่ากลัวจัง! นี่ขนาดแก่แล้วนะเนี่ย” เมื่อรู้ตัวว่าถูกอุบายหญิงหม้ายก็ตกใจจนลมสว่านตีขึ้น หน้ามืดหงายหลังล้มลงทันที“โอ๊ย..ทั้งเจ็บทั้งอาย เออ..เป็นลมดีกว่า” หญิงหม้ายตาบอดล้มลงแล้วก็มิได้ลุกขึ้นมาอีกเพราะหมดอายุขัย บุตรพราหมณ์ได้ช่วยอาจารย์ปลงศพผู้มีพระคุณแล้วก็อำลากลับบ้าน
พระบรมศาสดาตรัสชาดกจบก็ทรงประกาศ อริยสัจสี่โดยเอนกปริยาย
พระบรมศาสดาตรัสชาดกจบก็ทรงประกาศอริยสัจสี่โดยเอนกปริยาย
  
    “ไม่น่าเชื่อว่ากิเลสจะทำให้คนเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ น่าเศร้าจริงๆ” “เฮ้อ..ไปดีเถอะท่านแม่ เธอจงรู้ไว้เถิดวิชาอสาตมนต์นี้ไม่มีจริงหรอกเป็นเพียงอุบายที่มารดาของเธออยากให้เห็นโทษของหญิงที่เป็นศัตรูของการบวชเท่านั้น” “เป็นอย่างนี้นี่เอง ขอบคุณอาจารย์ที่ช่วยชี้ให้ศิษย์ให้ทางธรรม” อีกไม่นานต่อมาบุตรพราหมณ์ก็ออกบวชเพื่อมุ่งสูงพรหมโลกตามความหวังของบิดามารดา บำเพ็ญภาวนามิข้องแวะกับสตรีใดอีกจนหมดอายุขัยในมนุษยโลก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสชาดกนี่จบแล้ว ก็ทรงประกาศอริยสัจสี่โดยเอนกปริยาย ภิกษุผู้หม่นหมองเพราะหลงรูปสตรีก็รู้แจ้งในธรรม สามารถบำเพ็ญเพียรต่อไปโดยหมดทุกข์เผาใจอีกต่อไป

ในสมัยพุทธกาลหญิงชรา กำเนิดเป็น ภิกษุณี ภัททกาปิลานี
บิดาของชายหนุ่ม กำเนิดเป็น พระมหากัสสป
ลูกศิษย์ กำเนิดเป็น พระอานนท์
อาจารย์เสวยพระชาติเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า






อ้างอิง 
http://www.dmc.tv/pages/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81.html


สีลวนาคชาดก-ชาดกว่าด้วยผู้ดื้อรั้นว่ายาก

สีลวนาคชาดก-ชาดกว่าด้วยผู้ดื้อรั้นว่ายาก


นักกระโดดข้ามหอกผู้ดื้อรั้นว่ายาก  
นักกระโดดข้ามหอกผู้ดื้อรั้นว่ายาก
     คราวหนึ่งในฤดูพรรษาเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับยังพระเชตวัน ครั้งนั้นทรงปรารภกับภิกษุผู้ว่ายากดื้อดึงเอาแต่ใจตนรูปหนึ่งซึ่งมักมีเหตุให้ทรงต้องยกข้อธรรมมาอรรถาธิบายให้ปัญญาแก่สงฆ์สาวกอยู่เสมอ ความประพฤติต่างๆ ของหมู่สงฆ์เป็นที่มาของพระวินัยอันกำเนิดแต่พุทธกาลครั้งนั้น 
ในพรรษาดังกล่าวครั้งนี้

     ก็มีเหตุจากความดื้อความว่ายากสอนยากจากภิกษุในพระเชตวันเช่นเดิม “ท่านนี่ ว่ายากเหลือเกิน ตำรานอกพระสูตเช่นนั้นน่ะ ไม่ควรศึกษาเลย” “เราจะศึกษาตำราใด มันก็เป็นเรื่องของเรา ท่านอย่ามายุ่งเลย อย่างท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรควรอะไรไม่ควร” “ภิกษุหนุ่มเอ๋ย เจ้าช่างดื้อรั้นเหลือเกินแม้แต่ภิกษุที่อาวุโสกว่าเจ้า ให้คำแนะนำเจ้ายังไม่เชื่อฟัง” “ภิกษุรูปนี้ทำตัวเหลวไหลจริงๆ 
ไม่ว่าใคร

     จะพร่ำสอยยังไงก็ไม่สนใจ เฮ้อเห็นแล้วหงุดหงิดจริงๆ บัวใต้โคลนตมแท้ๆ” “เอาเถิดปล่อยเขาไปเถิด เมื่อเขามีความโมหะความหลง ท่านก็อย่ามีโทสะความโกรธตามเคย” เรื่องภิกษุดื้อรั้นว่ายากนี้ เมื่อหมู่สงฆ์ยกขึ้นเป็นข้อปุจฉาในธรรมสภาคราวหนึ่ง “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุรูปนี้ช่างดื้อรั้นเหลือเกินไม่ว่าใครจะตักเตือน
     ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุ ไม่ใช่บัดนี้เท่านั้นที่ภิกษุเธอเป็นผู้ว่ายาก แม้ในกาลก่อนก็เป็นผู้ว่ายากเช่นกัน” และด้วยความเป็นผู้ว่ายาก ไม่กระทำตามโอวาทแห่งบัณฑิตนั้นแหละจึงถูกหอกแทงถึงสิ้นชีวิต เพื่อจะสาทกยกข้อกรรมให้ภิกษุนั้นได้รำลึกเห็น พระองค์ทรงใช้ ปุพเพนิวาสนุสติญาณระลึกถึงอดีตชาติเล่าทุปตชาดกขึ้นในบัดนั้นครั้งหนึ่งเมื่อแคว้นกาสีผลัดมหาราชพระองค์ใหม่ในต้นแผ่นดินพระเจ้าพรหมทัต ครั้งนั้นเมืองพาราณสี

มหาราชพระองค์ใหม่ในต้นแผ่นดินพระเจ้าพรหมทัต ณ เมืองพาราณสี
มหาราชพระองค์ใหม่ในต้นแผ่นดินพระเจ้าพรหมทัต ณ เมืองพาราณสี
  
     ยังอยู่ในกาลรื่นรมย์ “ข้าแต่มหาราช พวกกระหม่อมได้จัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองการครองราชของพระองค์ไว้เรียบร้อยแล้วพระเจ้าค่ะ” “ดีแล้วหละ พวกท่านจงนำอาหารเครื่องดื่มออกมาให้ผู้คนทั้งหลายได้ดื่มกินกันเถิด ให้ผู้คนหยุดทำงานเลี้ยงฉลองกันให้เต็มที” การค้าวาณิชย์รุ่งเรือง ผู้คนจากสารทิศหลั่งไหลมาชื่นชมบารมีพระราชาการละเล่นหลาหลายล้วนมีให้ชมกันตลอดวันตลอดคืน “ฮ่าๆๆ มีความสุขจริงๆ” “นอกจากกรรณิกาอันดุจดอกไม้หลากสี
     ที่อุชเชนีแล้ว อาหารแพรพรรณและการละเล่นที่นี่ก็ถูกใจข้าไม่แพ้กันเลย” “ดีจังเลยที่เราได้มาร่วมฉลอง ไปๆๆ ไปทางโน้นกันเถอะ คนมุงดูทางโน้นเยอะแยะเลยสงสัยจะมีการแสดงดีๆให้ดู” มิใช่แต่ในกำแพงพระนครหลวงเท่านั้นที่มีการร้องรำเลี้ยงอาหารกันครึกครื้น ในชนบทนอกกำแพงก็สนุกสนานไม่ต่างกันเลย “โห้ อาหารน่ากินทั้งนั้นเลย เลือกไม่ถูกเลยเรา เอาอันนี้ก่อนแล้วกัน เอ้ อันนั้นก็น่ากินนะนั่น”
   “ดูสิจ๊ะลูก ตรงโน้นมีการแสดงร่ายรำ น่าดูจริงๆ เราเข้าไปดูกันมั๊ย” “ไปสิแม่ แต่ขอไปกินขนมตรงนั้นก่อนได้มั๊ยครับ” แม้บุตรหญิงและกุมารีที่อยู่ในตระกูลสูงที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ชมเมือง ก็ยังสนุกสนานจากการดูและการฟังจากไกลๆไม่ได้ “พี่ดูนั่นสิจ๊ะ ชายคนนั้นกินทั้งอาหาร ดื่มทั้งสุรามูมมามไปหมด เมาแล้วก็ร่ายรำตามนางรำดูตลกจริงๆ” “ไหนๆ ตรงไหนกัน อ๋อ ตรงนั้นนะเหรอ ตลกดีนะ” “เฮ้ย ดูตรงโน้นสิมีนางรำด้วยหนะ สวยจริงๆ”
กุมารีตระกูลสูงไม่ได้รับอนุญาตให้ไปร่วมงานได้แต่แอบมองดูอยู่จากเรือนของตน
กุมารีตระกูลสูงไม่ได้รับอนุญาตให้ไปร่วมงานได้แต่แอบมองดูอยู่จากเรือนของตน
      ในเวลานั้นมีนักแสดงผาดโผนสองคน เดินทางมายังนิคมชนบทแห่งนี้ คนหนึ่งสูงวัยเป็นอาจารย์ อีกคนเป็นศิษย์หนุ่มแน่น สุขุมและอ่อนน้อม “โอ้โห ที่เมืองจัดงานแสดงกันอยู่ด้วยรึ ดีล่ะ ชนบทที่นี่และที่เราควรจะแสดงวิชาเหาะข้ามอาวุธกันศิษย์เอ๋ย” “ถ้างั้นเราไปหามุมแสดงดีๆ กันเลยไหมครับท่านอาจารย์” “อย่างเพิ่งๆพาราณสีไม่มีเวลาหลับนอน เราจะแสดงเมื่อใดก็ได้ เจ้าอย่าเพิ่งเร่งรีบไปเลย ตอนนี้เราไปหาที่นั่งดื่มกินกันดีกว่า พูดแล้วก็เปรี้ยวปาก” ความครึกครื้น ของอาจารย์ มักมีสุราร่วมสนุกด้วยเสมอ ศิษย์หนุ่มรู้ความไม่ควรนั้น แต่สุดจะทัดทาน “เฮ้อ เมาอีกตามเคย จะแสดงผาดโผนได้อย่างไรกัน หากดื่มสุราจนมึนเมาไม่ได้สติ ยากจะห้ามปรามจริงๆ อาจารย์เรา” บุญหรือกรรมบันดาลก็สุดจะเดาที่เกิดมีนักเที่ยวนักดื่มที่นั่งร่ำสุราอยู่ก่อนจำทั้งศิษย์อาจารย์ได้ “เฮ้ย นั้นนักแสดงเสี่ยงตายข้ามหงอก 4 เล่มมิใช่รึ นี่คงจะมาเปิดการแสดงที่บ้านเราน่ะซิ” 
     “งั้นต้องไปทักให้แน่ใจซะแล้ว ได้ชนเหล้าสักแก้วก็คงดีไม่น้อย” นักแสดงกระโดดเหาะตัวอาจารย์นี้เป็นคนโอ้อวดและดื้อรั้นไม่เชื่อใคร เมื่อมีคนมาทักทายก็หลงปลื้ม“สหายเอ๋ย เรื่องกระโดดข้ามหอกนี่นะ ในอนุทวีปนี้ ไม่มีใครสู้ข้าได้หรอก ข้าตระเวนแสดงไปทั่ว กี่ที่ๆ ก็มีแต่คนตื่นเต้นตกใจในฝีมือของข้า ว่ากันว่า มีแต่ข้านี่แหละที่แสดงได้ดีหวาดเสียวกว่าใครๆ ฮ่า ฮ่าๆ” “ใช่ๆ เราก็เคยได้ยินเช่นนั้นเหมือนกัน ผู้คนต่างลือกันว่า ท่านนักแสดงกระโดดได้ไกลกว่าผู้ใด”
     “โอ้โห อย่างนั้นเลยเหรอ ท่านนักแสดงผู้นี้ ฝีมือเก่งกาจเพียงนี้เชียวรึ” “จริงๆ ข้าก็ได้ยินข่าวลือมาเช่นนั้นเหมือนกัน” “ฮะๆ ก็ถูกอย่างที่พวกท่านเคยได้ยินมานั่นแหละ ขนาดศิษย์ของข้าเองที่สอนมันมากับมือ แม้จะร่ายรำได้ทุกกระบวนท่า หรือแสดงอื่นได้เหมือนกับข้า แต่ที่ไม่อาจจะกระทำได้เหมือนกับข้าก็คือการกระโดดสูงและไกล

ศิษย์และอาจารย์นักแสดงผาดโผนได้เดินทางเข้าไปร่วมงานฉลองกับชาวเมืองพาราณสี
ศิษย์และอาจารย์นักแสดงผาดโผนได้เดินทางเข้าไปร่วมงานฉลองกับชาวเมืองพาราณสี
      ข้ามหอกแหลมคม อักปักเรียงกันไว้ได้ไกลเท่าข้าเลย พูดแล้วจะหาว่าคุย ฮ้าๆๆ”พอสุราเข้าลำคอ นักแสดงตัวเอกก็ร่ายร่ำคำโอ้อวดไม่หยุด “สหายเอ๋ย ว่าแล้วจะหาว่าคุยนะเนี่ย ข้าจะเล่าให้ฟัง ทุกสถานที่ ที่เราแสดงนั้น จะมีวิหารสูงดังชนบทบ้านนี้เหมือนกันแม้จะสูงเพียงใด ข้าก็จะขึ้นไปยืนสง่า อวดร่างสมส่วนแล้วก็ร่ายรำให้ดูจนเพลินตา จากนั้นก็จะวิ่งให้เร็วประดุจลูกธนูแล้วก็กระโดดขึ้นสูงถีบร่างไปได้ไกลกว่านักกีฬาคนใดหอก 4 เล่มที่ปักไว้บนพื้นดิน ข้าก็สามารถข้ามได้อย่างง่ายดาย คนดูทั้งหลายปรบมือให้ข้าดังสนั่น ทุกคนต่างทึ่งในความสามารถนี้ของข้ากันหมด หึๆ ฮ่าๆๆ”อาจารย์ขี้อวดเล่าถึงการแสดงผาดโผนของเขาให้นักดื่มที่นั้น ฟังอย่างสนุกสนาน โดยไม่รู้เลยว่า เหตุร้ายได้มาถึงตัวแล้ว “ในชนบทอื่น ท่านอาจารย์กระโดดได้ 4 เล่มหอก แล้วชนบทบ้านข้านี่เล่า ท่านยังกระโดดได้เท่าเดิม อยู่เท่านั้นรึ” 
     “ฮ่าๆๆ สบาย เจ้าจะเอากี่เล่มละ สัก 5 เล่ม เลยดีไหม เดี่ยวข้าจะกระโดดให้เจ้าดูเอง แหม มาลองดี เดี๋ยวจะแสดงให้เห็นกับตาวันนี้หละ ข้าจะแสดงการกระโดดหอก5 เล่มให้ดู หึๆ ฮ่าๆๆๆ” “ห๊า จริงรึ เป็นบุญตาของข้ายิ่งนัก หอก 5 เล่ม นี่ถือว่าทำลายสถิติที่เคยแสดงไว้ที่ไหนๆ เลยนะเนี่ย ดีเลยข้าจะได้ไปเล่าให้คนอื่นเขาฟังว่า ได้ชมท่านกระโดดข้ามหอกตั้ง 5 เล่ม รับรองต้องมีคนอิจฉาอยากดูเหมือนข้าแน่ๆ” มานพหนุ่มผู้เป็นศิษย์ได้ยินคำอวดดีก็เข้าห้ามปรามไว้
     “อาจารย์ ท่านไม่เคยกระโดดข้ามหอก 5 เล่มมาก่อน อย่ากระทำในสิ่งที่ไม่เคยกระทำเลย”“โธ่เอ้ย เจ้าศิษย์ด้อยฝีมือ หอกแค่ 5 เล่มทำไมเราจะทำไม่ได้ ก็แค่เพิ่มมาอีกเล่มเดียวจะเป็นไรไป แต่ครั้งนี้ท่านดื่มสุราเสียเมามาย มันจะยิ่งยากที่บังคับตัวเองให้เคลื่อนไหวตามใจได้นะอาจารย์” “เราเป็นอาจารย์เจ้านะ เจ้าเป็นแค่สิทธิ์จะมาสั่งสอนอาจารย์ได้เช่นไร อย่ามาห้ามนักเลย
     เราจะแสดงให้พวกนี้ได้เห็นในฝีมือถึงเจ้าจะห้ามอย่างไร เราก็จะไม่ฟังหรอก” เมื่อเป็นเช่นนี้ การแสดงกลางชุมนุมชนหลังจากนั้น จึงเป็นการกระโดดข้ามหอกเสี่ยงตาย 5 เล่ม ตามคำโอ้อวดของอาจารย์ผู้ดื้อรั้น “นี่ เพิ่มไปอีกเล่ม เป็น 5 ทีนี้ล่ะ จะได้ตะลึงกันตาค้างแน่ๆ นักแสดงฝีมือดีอย่างเราสบายอยู่แล้ว เฮอะๆๆ 5 เล่มก็ 5 เล่มเถอะ” ถึงเวลาแสดงจริง อาจารย์นักกระโดดหอกก็ขึ้นไปทำท่าเรียกลมปรานตามวิชาตน
นักแสดงผาดโผนเตรียมตัวพร้อมสำหรับการกระโดดข้ามหอก 5 เล่ม
นักแสดงผาดโผนเตรียมตัวพร้อมสำหรับการกระโดดข้ามหอก 5 เล่ม
  
     “สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เรียกพลังกันหน่อย อืม ได้กลิ่นแหล้า มาตรึมเลย โอยตาลายไปหมด เพิ่มสมาธิ(Meditation)สักหน่อยดีกว่า” หลังจาเรียกลมปรานยืนทำสมาธิแล้วอาจารย์ขี้อวดนี้ก็ร่ายรำตามตำราเพื่อขยายกล้ามเนื้อเรียกกำลังตามข้อต่างๆ ทั่วร่างกายก่อนออกวิ่งอย่างเร็ว เมื่อออกวิ่งอย่างรวดเร็ว แล้วนักแสดงผาดโผนผู้เป็นอาจารย์ก็ถีบตัวเองกระโดดลอยข้ามหอกเล่มที่ 1 2 3 และเล่มที่ 4 ได้อย่างง่ายดายเหมือนทุกครั้ง “หึๆ ง่ายเหมือนปอกกล้วย ผ่านไป 4 เล่มแล้วเห็นมั๊ยต่อไปก็เล่มสุดท้ายแล้วล่ะ เล่มที่ 5 เฮ้ย” พอเลยตัวมาถึงหอกเล่มที่ 5 การยกน้ำหนักตัวผ่านหอกเล่มนี้ไปนั้นของ มันยากเกินจะทำได้ “อ้าว เฮ้ย ลอยก่อนซิ ลอยก่อน จะรีบลงทำไมว่ะเนี่ย ตายๆๆๆ ตายแน่โยกตัวไม่ขึ้นอีกนิดเดียวก็จะพ้นแล้ว ลอยอีกหน่อยซิโว้ย”อาจารย์ผู้โชคร้ายรู้สึกถึงแรงโน้มถ่วงดึงลงต่ำไปเรื่อย 
ร่างของนักแสดงร่วงลงบนหอกเล่มที่ 5 ได้รับบาดเจ็บและตายลงในที่สุด
ร่างของนักแสดงร่วงลงบนหอกเล่มที่ 5 ได้รับบาดเจ็บและตายลงในที่สุด
     จนถึงความวิบัติ ต้องเสียชีวิตไปอย่างไม่ควรเลยแท้ๆ”“เฮ้ย ไม่พ้นแน่เลยเรา โอ้ยตายๆๆๆ ตายแน่ๆ ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที ช่วยข้าด้วย โอ๊ย”และแล้วจุดจบของนักกระโดดผู้ไม่ยอมฟังใคร แม้แต่จากศิษย์ที่รักและหวังดี ก็มีสภาพอนาถ หอกเล่มที่ 5 ปักทะลุกลางหลังขึ้นมาถึงท้อง เลือดไหลเป็นทางตามด้ามหอกเล่มที่ 5ที่เพิ่มมาด้วยความอวดดี ดื้อดึงของเขา และก็เป็นเล่มที่ทำให้เขาได้พบจุดจบอีกเช่นกัน 
  
ในพุทธกาลครั้งนั้น พระพุทธศาสดาประชุมชาดกเรื่องนี้ว่า
อาจารย์นักกระโดด กำเนิดเป็นภิกษุผู้ว่ายาก
มาณพผู้เป็นศิษย์ เสวยพระชาติเป็นพระพุทธเจ้า










อ้างอิง http://www.dmc.tv/pages/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81.html